(เครดิตรูปภาพ: freepik)
การเปลี่ยนยางรถยนต์เป็นอีกเรื่องที่สำคัญที่เจ้าของรถทุกคนต้องให้ความสำคัญ เพราะยางที่เลือกสามารถกำหนดประสบการณ์การขับขี่ของคุณได้ ยางจะส่งผลต่อการควบคุมรถของคุณ ความเร็วที่คุณสามารถขับได้ และสภาวะที่คุณสามารถขับขี่ได้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือส่งผลต่อความปลอดภัยของรถของคุณ ยางที่ดีที่สุดไม่ได้มีขนาดเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสไตล์การขับขี่ของคุณด้วย และนี่คือ 7 สิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่ายางชนิดไหนที่เหมาะกับความต้องการของคุณมากที่สุด
(เครดิตรูปภาพ: Pexels)
1. ความกว้างของยาง
ความกว้างของยางจะแสดงเป็นตัวเลขสามหลักแรกของป้ายยาง เช่น ยาง P197/40/R15/V จะมีความกว้าง 197 มิลลิเมตร ความกว้างของยางเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการยึดเกาะ เนื่องจากยางที่กว้างกว่าจะสัมผัสกับพื้นถนนได้มากกว่า ดังนั้นจึงดีกว่าบนถนนเปียก ยางที่แคบกว่าจะมีประโยชน์น้อยกว่าในการยึดเกาะ แต่พื้นที่หน้าสัมผัสที่เล็กกว่าจะทำให้เกิดเสียงรบกวนน้อยลงในขณะขับขี่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ
(เครดิตรูปภาพ: Wikimedia Commons)
2. ความสูงของแก้มยาง
สามารถตรวจสอบได้ดังนี้ เช่น P197/40/R15/V เท่ากับว่าความสูงของแก้มยางคือ 40 แต่แก้มยางที่มีความสูงมากกว่า 50 จะให้การปกป้องที่มากกว่า เพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นและล้อที่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ในทางกลับกัน ยางหน้ากว้างมีแนวโน้มที่จะเกิดความเสียหายมากกว่า แต่แก้มยางที่แคบกว่าถือว่าดูดีกว่า และให้ประสิทธิภาพการบังคับเลี้ยวที่ดีกว่า
(เครดิตรูปภาพ: Wikimedia Commons)
3. ขนาดของยาง
ควรเลือกยางที่มีขนาดเหมาะสมกับรถของคุณ ยางที่ใส่ไม่พอดีอาจทำให้เกิดแรงกดที่ส้นเท้าเพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งหลุดออกมาขณะขับรถ ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ขนาดยางจะแสดงด้วยตัวเลขสองหลักของป้ายยางซึ่งอยู่หลังตัวอักษร "R" ตัวอย่างเช่น ใน P197/40/R15/V ขนาดยางคือ R15
(เครดิตรูปภาพ: Pexels)
4. ความเร็วสูงสุด
อัตราความเร็วของคุณคือตัวอักษรสุดท้ายบนป้ายยาง ดังนั้นหากป้ายยางของคุณคือ P197/40R15/V ดังนั้น V คืออัตราความเร็วของคุณ ตัวอักษรนี้จะสอดคล้องกับความเร็วที่แน่นอนในแผนภูมิความเร็วตามรายการด้านล่าง โดยทั่วไป อัตราความเร็วที่สูงขึ้นหมายถึงการยึดเกาะและพลังหยุดที่ดีขึ้น แต่ยังมีความทนทานน้อยลงด้วย หากคุณวางแผนที่จะขับเร็ว อาจคุ้มค่าที่จะซื้อยางที่รองรับความเร็วสูงกว่าและเปลี่ยนบ่อยขึ้น
อัตราความเร็ว:
Q - 160 กม./ชม
S - 180 กม./ชม
T - 190 กม./ชม
U - 200 กม./ชม
H - 210 กม./ชม
V - 240 กม./ชม
W - 270 กม./ชม
Y - 300 กม./ชม
(Y) - สูงกว่า 300 กม./ชม
(เครดิตรูปภาพ: Pixabay)
5. ลายดอกยาง
รูปแบบดอกยางที่เป็นไปได้มีสามแบบ ได้แก่ แบบสมมาตร ทิศทาง และไม่สมมาตร
แบบสมมาตรเป็นประเภทที่พบมากที่สุด—ดอกยางแคบจัดเรียงเป็นรูปคลื่น ยางเหล่านี้เหมาะที่สุดสำหรับการขับขี่ที่เงียบ แต่ทำงานได้ไม่ดีนักในหน้าฝน เนื่องจากการออกแบบไม่เหมาะกับการกระจายตัวของน้ำ
เพื่อประสิทธิภาพในการลุยฝน คุณจะต้องเลือกใช้ดอกยางลายทิศทาง โดยดอกยางจะเป็นรูปตัว V กว้าง ซึ่งออกแบบมาให้หมุนได้ในทิศทางเดียวเท่านั้น เนื่องจากการออกแบบที่กว้างขึ้น ยางเหล่านี้จึงกระจายน้ำและการยึดเกาะถนนได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การออกแบบนี้ยังทำให้เกิดเสียงดังกว่ามากเมื่อเทียบกับยางแบบสมมาตร ซึ่งอาจสร้างความระคายเคืองขณะขับขี่ได้
ดอกยางที่ไม่สมมาตรสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งสองประการ ดอกยางเหล่านี้ได้รับการออกแบบโดยให้พื้นผิวครึ่งหนึ่งเหมาะสำหรับฝนตกและอีกครึ่งหนึ่งสำหรับการลดเสียงรบกวน คุณจึงสามารถมีสิ่งที่ดีที่สุดจากทั้งสองโลกได้ มักจะมีราคาแพงกว่า ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจะคุ้มค่าหรือไม่
รูปแบบดอกยางที่เหมาะกับคุณขึ้นอยู่กับความต้องการและไลฟ์สไตล์ในการขับขี่ของคุณ
(เครดิตรูปภาพ: Flickr)
6. อายุของยาง
ยางรถยนต์ถึงแม้จะไม่ได้ถูกใช้งานบนท้องถนนก็สามารถเสื่อมสภาพได้ตามกาลเวลา ทางที่ดีไม่ควรเลือกใช้ยางที่มีอายุเกิน 6 ปี ซึ่งสามารถดูวันที่ผลิตได้จากตัวเลขสี่หลักสุดท้ายบนแก้มยาง เช่น 3210 หมายความว่ายางผลิตในสัปดาห์ที่ 32 ของปี 2010 โปรดตรวจสอบวันที่ผลิตเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังซื้อยางที่ปลอดภัย
(เครดิตรูปภาพ: Flickr)
7. การรับประกันของผู้ผลิต
โดยปกติผู้ผลิตจะมีการรับประกันยางให้ แต่ในระยะเวลาที่จำกัด และการรับประกันอาจไม่ครอบคลุมทุกความเสียหาย ดังนั้นนอกจากจะเลือกยางจากยี่ห้อแล้ว อย่าลืมดูเรื่องการรับประกันต่าง ๆ ด้วย เพราะแต่ละบริษัทจะมีการรับประกันที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้คุณสามารถเลือกยี่ห้อที่ให้ความคุ้มครองที่ดีสำหรับคุณได้
รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!
อ่านเพิ่มเติม: ขับรถเร็วแล้วพวงมาลัยสั่น เกิดจากอะไร?
ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…
